สิ่งที่ควรรู้ก่อน Windows 10 หมดอายุเดือนตุลาคมนี้ ใครใช้ Windows 10 อยู่ หลัง Microsoft หยุดสนับสนุนจะยังใช้ต่อได้ไหม มีวิธีแก้ยังไงบ้าง ?

ภาพจาก : shutterstock.com / Anton Watman
ในที่สุดเวลาของ Windows 10 ก็กำลังจะหมดลงแล้ว หลังจากที่ Microsoft เปิดตัวระบบปฏิบัติการนี้มาตั้งแต่ปี 2015 และให้การสนับสนุนมายาวนานกว่า 10 ปี โดยล่าสุด Microsoft จะหยุดการสนับสนุน Windows 10 หมดอายุตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2025 เป็นต้นไป ทำให้หลายคนอาจสงสัยว่า หลังจากนี้จะยังสามารถใช้งานต่อได้ไหม แล้วควรทำยังไงต่อดี วันนี้ Kapook Tech จะพาไปสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ กัน
Windows 10 หมดอายุ จะส่งผลยังไงบ้าง
หลังจากวันที่ Windows 10 สิ้นสุดการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ 14 ตุลาคม 2025 เป็นต้นไป ทาง Microsoft จะไม่ออกอัปเดตด้านความปลอดภัย (Security Updates), แก้ไขบั๊ก หรือปรับปรุงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ อีกต่อไป ทำให้มีโอกาสโดนแฮกหรือมัลแวร์เจาะระบบจะเพิ่มขึ้น เพราะไม่มีการอัปเดตแพตช์อุดช่องโหว่ รวมถึงโปรแกรมหลาย ๆ ตัวอาจค่อย ๆ เลิกสนับสนุน Windows 10 ไปจนถึงอุปกรณ์หรือไดรเวอร์รุ่นใหม่ ๆ ก็อาจใช้งานร่วมกับ Windows 10 ไม่ได้
แก้ Windows 10 หมดอายุยังไงดี

ภาพจาก : shutterstock.com / eleonimages
สำหรับวิธีแก้ปัญหาหลัง Windows 10 หมดอายุการสนับสนุนจาก Microsoft แล้ว มีอยู่หลายทางให้เลือก ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. อัปเดตเป็น Windows 11
ถ้าคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่สเปกผ่านเกณฑ์และรองรับ Windows 11 แนะนำให้อัปเดตเลย เพราะจะได้รับการอัปเดตความปลอดภัยต่อเนื่อง แถมมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ทันสมัยกว่าให้ใช้งาน รวมทั้งรองรับซอฟต์แวร์และไดรเวอร์รุ่นใหม่ ๆ
2. อัปเกรดคอมพิวเตอร์หรือซื้อใหม่
ถ้าคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าไม่รองรับ Windows 11 และมีอายุใช้งานมานาน แนะนำให้วางแผนเปลี่ยนเครื่องใหม่ในช่วงปลายปี 2025 หรือก่อนหน้านั้น เพื่อให้ปลอดภัยและรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรืออาจพิจารณาอัปเกรดไปใช้ CPU และส่วนอื่น ๆ เพื่อให้รองรับ Windows 11 ก็ได้เช่นกัน
3 ใช้งานต่อแบบระมัดระวัง
หากยังจำเป็นต้องใช้ Windows 10 ต่อไปก็จะยังสามารถใช้งานได้อยู่ เพียงแต่จะต้องใช้งานอย่างระมัดระวังไวรัสและภัยคุกคามต่าง ๆ โดยแนะนำให้ติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่อัปเดตอยู่เสมอ หมั่นสำรองข้อมูลสำคัญเป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการติดตั้งซอฟต์แวร์จากแหล่งไม่ปลอดภัย ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ใช้ระบบที่เกี่ยวข้องกับงานระดับองค์กรหรือมีข้อมูลสำคัญจำนวนมาก
4. ติดตั้ง Windows 11 แบบดื้อ ๆ ไปเลย
ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์เก่าจะไม่รองรับ Windows 11 แต่ก็ยังพอมีวิธีให้สามารถติดตั้ง Windows 11 ได้อยู่ โดยจะเป็นการทำให้ระบบมองข้ามการตรวจสอบว่าคอมพิวเตอร์รองรับ TPM 2.0 ที่จำเป็นต่อการติดตั้งหรือไม่ ทำให้สามารถติดตั้งและใช้งานได้ แต่หากคอมพิวเตอร์สเปกต่ำเกินไปก็อาจส่งผลให้การใช้งานไม่ลื่นไหล มีอาการเครื่องช้า อืด หน่วง หรือเกิดปัญหาต่าง ๆ ในภายหลังได้เช่นกัน
5. จ่ายเงินเพื่อซื้อต่ออายุ
หลังจาก Windows 11 หมดอายุการสนับสนุนในช่วงปีแรก ผู้ใช้ทั่วไปจะสามารถจ่ายเงิน $30 หรือประมาณ 1,000 บาท เพื่อยืดอายุการสนับสนุนต่อไปอีก 1 ปีได้ แต่หลังจากเดือนตุลาคม 2026 จะไม่สามารถต่ออายุได้อีกแล้ว
6. เปลี่ยนไปใช้ระบบปฏิบัติการอื่น
อีกหนึ่งทางเลือกสุดท้ายที่สามารถทำได้ก็คือ เลิกใช้ Windows แล้วเปลี่ยนไปใช้ระบบปฏิบัติการอื่น ๆ อย่างเช่น Linux หรือ ChromeOS แทน แต่ก็อาจต้องใช้เวลาปรับตัวกันพอสมควร รวมถึงโปรแกรมบางอย่างที่เคยใช้บน Windows ก็อาจไม่รองรับ
สรุปแล้วหลังจากที่ Windows 10 หมดอายุในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ถึงแม้จะยังสามารถใช้งานได้ แต่ก็จะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยสูงขึ้น และอุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ อาจไม่รองรับ จึงแนะนำให้ทำการอัปเดตเป็น Windows 11 หากเป็นไปได้ หรือพิจารณาอัปเกรดคอมพิวเตอร์ที่รองรับ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพที่ดีกว่า สำหรับใครที่ยังใช้ Windows 10 อยู่ก็ตรวจสอบเครื่องของตัวเองกันได้แล้วว่าสามารถอัปเดตได้หรือไม่ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก่อนถึงวันสิ้นสุดการสนับสนุนครับ