รู้เท่าทันภัยคุกคามทางไซเบอร์ในยุค AI เมื่อมิจฉาชีพใช้ AI เป็นเครื่องมือเพื่อให้หลอกเหยื่อได้แนบเนียนกว่าเดิม เราจะมีวิธีป้องกันตัวเองได้อย่างไรบ้าง ?

ในยุคที่เทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา ไม่เพียงแต่จะมอบความสะดวกสบายและนวัตกรรมใหม่ ๆ แต่ยังนำมาซึ่งภัยคุกคามทางไซเบอร์ ที่วิวัฒนาการไปพร้อมกับ AI พัฒนาวิธีการโจมตีให้แนบเนียนและร้ายแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ คำถามคือ ภัยไซเบอร์ยุคใหม่มีอะไรบ้าง และ เราจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร
ภัยคุกคามทางไซเบอร์คืออะไร
ภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cyber Threat) หมายถึงเหตุการณ์หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อระบบคอมพิวเตอร์, เครือข่าย, ข้อมูล หรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลหรือองค์กรผ่านทางเทคโนโลยีดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อขโมยข้อมูล, ทำลายระบบ, ขัดขวางการทำงาน หรือเรียกค่าไถ่ข้อมูล
ภัยคุกคามทางไซเบอร์ 5 ประเภทในยุค AI
1. ฟิชชิ่ง (Phishing) รูปแบบใหม่
AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อเพื่อสร้างอีเมล ข้อความ หรือแม้แต่การโทรศัพท์ที่ดูน่าเชื่อถือและเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทำให้ยากที่จะแยกแยะระหว่างของจริงกับของปลอม
2. โจมตีแบบอัตโนมัติ (Automated Attacks)
AI สามารถสแกนหาช่องโหว่ในระบบเครือข่ายและทำการโจมตีได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องใช้คนควบคุมตลอดเวลา
3. Deepfake
อาชญากรไซเบอร์สามารถใช้ AI ปลอมแปลงใบหน้า (Deepfake) เพื่อปลอมคลิปวิดีโอเรียกค่าไถ่ เช่น ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหลอกว่ากระทำสิ่งผิดกฎหมาย
4. Voice Cloning
นอกจากการปลอมใบหน้าแล้ว อาชญากรก็ยังสามารถใช้ AI ในการเลียนแบบเสียง (Voice Cloning) ของบุคคลที่เหยื่อรู้จัก เพื่อหลอกลวงให้หลงเชื่อและเปิดเผยข้อมูลหรือโอนเงินได้เช่นกัน
5. Botnets ที่ซับซ้อนขึ้น
AI สามารถควบคุมเครือข่าย Botnet (คอมพิวเตอร์ที่ถูกยึดครอง) ให้ทำการโจมตี DDoS (Distributed Denial of Service) หรือแพร่กระจายมัลแวร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การป้องกันภัยคุกคามด้านไอที
1. ตื่นตัวและรู้เท่าทัน
-
อย่าเพิ่งเชื่อทุกสิ่งที่เห็นหรืออ่าน โดยเฉพาะอีเมลหรือข้อความที่ไม่คุ้นเคย ตรวจสอบแหล่งที่มาให้ดีเสมอ
-
ติดตามข่าวสารด้านความปลอดภัย ทำความเข้าใจกับภัยคุกคามใหม่ ๆ และวิธีการป้องกัน
2. ใช้รหัสผ่านที่รัดกุมและหลากหลาย
-
ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อน (มีตัวอักษรพิมพ์เล็ก-ใหญ่ ตัวเลข และสัญลักษณ์) และไม่ซ้ำกันในแต่ละบัญชี
-
พิจารณาใช้ Password Manager เพื่อช่วยจัดเก็บและสร้างรหัสผ่านที่ปลอดภัย
3. เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนแบบสองชั้น (2FA)
-
การเปิดใช้งาน 2FA แม้แฮกเกอร์จะได้รหัสผ่านของเราไปก็ยังไม่สามารถเข้าถึงบัญชีได้ หากไม่มีรหัสยืนยันจากมือถือหรืออุปกรณ์อื่น ๆ
4. ระมัดระวังการคลิกลิงก์และเปิดไฟล์แนบที่ไม่รู้จัก
-
อีเมลฟิชชิ่งมักจะหลอกล่อให้เหยื่อคลิกลิงก์ปลอมหรือดาวน์โหลดไฟล์ที่มีมัลแวร์ หากไม่แน่ใจอย่าคลิก และลบทิ้งทันที
5. อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการเสมอ
-
ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จะออกแพตช์เพื่ออุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย การอัปเดตเป็นประจำจะช่วยให้ระบบของอุปกรณ์ปลอดภัยจากการโจมตีได้
6. สำรองข้อมูลสำคัญอย่างสม่ำเสมอ
-
ในกรณีที่ถูกโจมตีด้วย Ransomware (มัลแวร์เรียกค่าไถ่) การมีข้อมูลสำรองจะช่วยให้เราสามารถกู้คืนข้อมูลได้
7. ใช้โปรแกรม Antivirus และ Firewall ที่น่าเชื่อถือ
-
โปรแกรมเหล่านี้จะช่วยตรวจจับและบล็อกภัยคุกคามต่าง ๆ ก่อนที่จะเข้ามาทำอันตรายระบบของคุณ
8. ระมัดระวังการใช้ Wi-Fi สาธารณะ
เครือข่าย Wi-Fi สาธารณะอาจไม่มีการเข้ารหัสที่ดีพอ ทำให้ข้อมูลของเราเสี่ยงต่อการถูกดักจับ หากจำเป็นต้องใช้ แนะนำให้ใช้ VPN เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
ในขณะที่ AI เป็นเครื่องมือของอาชญากรไซเบอร์ AI ก็เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับผู้พิทักษ์ความปลอดภัยเช่นกัน เพราะ AI ได้ถูกนำมาใช้ในการตรวจจับภัยคุกคามที่ซับซ้อน การวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผิดปกติ และการตอบสนองต่อการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยได้อย่างสมบูรณ์ แต่การตระหนักรู้ การเรียนรู้ และการปรับตัวของมนุษย์ต่างหากที่เป็นหัวใจสำคัญในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ในยุค AI นี้