อย่าเพิ่งกดปิด ! ฟีเจอร์สั่งการด้วยเสียงที่หลายคนมองข้าม อาจกลายเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตในยามคับขัน

Voice Assistant ฟีเจอร์ที่หลายคนมองข้ามบนมือถือ อาจกลายเป็นฮีโร่ที่สามารถช่วยชีวิตคุณในยามคับขันได้ เปิดใช้งานฟีเจอร์วันนี้ เพื่อโอกาสรอดชีวิตในวันข้างหน้า 

Voice Assistant

ในชีวิตประจำวัน ฟีเจอร์สั่งการด้วยเสียงหรือ Voice Assistant ในโทรศัพท์มือถือมักถูกมองว่าไม่จำเป็น บางคนรู้สึกรำคาญ บางคนกลัวเปลืองแบตเตอรี่ จนเลือกปิดทิ้งโดยไม่คิดอะไร แต่หารู้ไม่ว่า ในวินาทีความเป็นความตาย ฟีเจอร์ที่คุณมองว่าไร้ประโยชน์เกะกะหรือเปลืองแบตเตอรี่เหล่านี้ สามารถกลายเป็นเสมือนปุ่มฉุกเฉินไร้สายที่สำคัญที่สุด และอาจเป็นโอกาสรอดเพียงหนึ่งเดียวเมื่อคุณไม่สามารถเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ได้ !

ทำไม Voice Assistant ถึงสำคัญกว่าที่คิด ?

เรามักคุ้นเคยกับการใช้มือแตะหน้าจอมือถือ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเต็มไปด้วยอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจทำให้มือของเราไม่สามารถใช้งานได้ หรือโทรศัพท์อยู่ไกลเกินเอื้อม ถ้าหากใครยังไม่เห็นภาพให้ลองจินตนาการถึงสถานการณ์เหล่านี้ดู

  • ภัยจากสถานที่ปิดตาย ข่าวคนติดในห้องน้ำเพราะลูกบิดพังไม่ได้มีแค่เคสเดียว แต่มันเกิดขึ้นได้ทั่วโลก การติดอยู่ในห้องปิดทึบ ระบายอากาศไม่ดี เป็นเวลานานหลายวันโดยไม่มีใครรู้ อาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำหรือหมดสติได้ โทรศัพท์ที่วางอยู่หน้าห้องน้ำอาจเป็นทางรอดเดียว ถ้าเสียงของคุณส่งไปถึง

  • อุบัติเหตุในบ้าน (โดยเฉพาะคนที่อยู่คนเดียว) การลื่นล้มในห้องน้ำ ตกบันได หรือสะดุดล้มจนกระดูกหัก ขยับตัวไม่ได้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่คิด หากคุณล้มลงแล้วโทรศัพท์วางอยู่บนโต๊ะ การตะโกนสั่งงานด้วยเสียงคือหนทางเดียวที่จะเรียกกู้ภัยได้

  • ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์เฉียบพลัน อาการหัวใจกำเริบ เส้นเลือดในสมองแตก หรือหน้ามืดกะทันหัน ร่างกายอาจชาหรืออ่อนแรงจนไม่มีแรงหยิบจับอะไร การสั่งงานด้วยเสียงว่า "โทร. หาแม่" หรือ "โทร. 1669" อาจช่วยยื้อชีวิตได้ทันท่วงที

  • อุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อเกิดการชน ร่างกายคุณอาจติดอยู่ในซากรถ หรือโทรศัพท์กระเด็นตกลงไปที่วางเท้า หากคุณขยับตัวไม่ได้ การสั่งงานด้วยเสียงคือวิธีเดียวที่จะบอกตำแหน่งและขอความช่วยเหลือ

Voice Assistant

ภาพจาก : shutterstock.com / Tada Images

วิธีตั้งค่ามือถือให้พร้อมเป็นผู้ช่วยชีวิต

อย่ารอให้วัวหายแล้วล้อมคอก หยิบมือถือขึ้นมาตรวจสอบการตั้งค่า 4 ข้อนี้ได้เลย ไม่ต้องลงแอปฯ เพิ่ม

1. เปิดระบบ Voice Assistant (สั่งการด้วยเสียง)

เพื่อให้โทรศัพท์มือถือพร้อมรับคำสั่งตลอดเวลา แม้หน้าจอจะดับอยู่

  • iOS (iPhone) : เข้าไปตั้งค่า Siri ให้เปิดใช้งาน "Listen for 'Hey Siri'" (หวัดดี Siri)

  • Android : เข้าไปที่การตั้งค่าในแอปฯ Google Assistant หรือ Gemini เปิดฟีเจอร์ "Hey Google"

  • Samsung : เปิดฟีเจอร์ Voice Wake-up ในการตั้งค่าของ Bixby

2. ตั้ง "ชื่อผู้ติดต่อ" บุคคลฉุกเฉินให้เรียกง่ายที่สุด

ในยามตกใจ ลิ้นอาจจะพันกัน หรือระบบอาจฟังชื่อยาว ๆ ผิดเพี้ยน แนะนำให้เปลี่ยนชื่อ Contact พ่อ แม่ หรือแฟน ให้เป็นคำพยางค์เดียว หรือคำง่าย ๆ ที่ระบบคุ้นเคย เช่น "พ่อ", "แม่", "แฟน" หรือชื่อเล่นพยางค์เดียวที่ออกเสียง่ายและชัดเจน พร้อมทั้งตั้งค่าเบอร์เหล่านั้นเป็น Emergency Contact (ผู้ติดต่อฉุกเฉิน) ไว้ในเครื่องด้วย

3. ฝึกซ้อมเหมือนซ้อมหนีไฟ

ลองวางมือถือไว้ห่างตัวในระยะต่าง ๆ แล้วตะโกนสั่งงานดูว่าระบบตอบรับหรือไม่ เช่น "หวัดดี Siri เปิดลำโพงโทร. หาแม่" หรือ "Ok Google เปิดไฟฉาย" (มีประโยชน์มากหากไฟดับหรือติดในที่มืด)

4. ปรับพฤติกรรมการวางมือถือ

สำหรับชาวหอพักหรือคอนโด เวลาเข้าห้องน้ำหรืออาบน้ำ ไม่จำเป็นต้องเอามือถือเข้าไปก็ได้ แต่ควรวางไว้หน้าประตูหรือในจุดที่เสียงตะโกนสามารถลอดไปถึงได้ง่ายที่สุด

เราอาจไม่เคยใช้ฟีเจอร์เหล่านี้เลยตลอดหลายปี แต่วันหนึ่ง หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา มันอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ใครสักคนได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของเรา เพราะเทคโนโลยีไม่ใช่แค่ของอำนวยความสะดวก แต่ในบางวินาทีของชีวิต มันคือโอกาสรอดที่ไม่ควรถูกปิดทิ้งไว้เฉย ๆ

เรื่องน่าสนใจอื่นๆ
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
อย่าเพิ่งกดปิด ! ฟีเจอร์สั่งการด้วยเสียงที่หลายคนมองข้าม อาจกลายเป็นฮีโร่ช่วยชีวิตในยามคับขัน อัปเดตล่าสุด 17 ธันวาคม 2568 เวลา 14:38:04
TOP