12 อันดับ Windows ที่ดีที่สุด-แย่ที่สุด เคยใช้เวอร์ชั่นไหนกันบ้าง ?

หลายคนบอกว่า Windows 7 คือ Vista เวอร์ชั่นสมบูรณ์ แต่ Windows 7 ทำได้มากกว่านั้นมาก มันเร็ว ลื่น และเข้ากันได้ดีกับทั้งฮาร์ดแวร์เก่าและใหม่ เพิ่มฟีเจอร์สำคัญอย่างการตรึงไอคอนบน Task Bar, พรีวิวหน้าต่าง, Aero Snap และอื่น ๆ อีกมากมาย และที่สำคัญคือ Windows 7 ยังไม่มีฟีเจอร์ที่เพิ่มความยุ่งยากแบบยุคใหม่อย่างเช่น Microsoft Store, การเก็บข้อมูลมากเกินไป หรือการบังคับล็อกอินด้วยบัญชีออนไลน์ มันจึงเป็น Windows ที่เรียบง่าย สะอาด และใช้งานได้ดีอย่างแท้จริง ถ้าปัจจุบันยังมีการสนับสนุนและใช้งานกับฮาร์ดแวร์ใหม่ได้ เชื่อว่าหลายคนยังไม่อยากอัปเกรดไปใช้เวอร์ชั่นอื่นเลยด้วยซ้ำ

หลังจากความล้มเหลวของ Windows ME ทาง Microsoft ก็กลับมาได้ด้วย Windows XP ซึ่งถือเป็นเวอร์ชั่นในตำนาน เป็นระบบปฏิบัติการที่ผู้คนจำนวนมากใช้ยาวนานที่สุด และเป็นประตูสู่โลกอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้หลายล้านคน โดย Windows XP มีดีไซน์ที่โดดเด่น ทั้งปุ่ม Start สีเขียวสดใส และวอลเปเปอร์เนินเขาสุดคลาสสิก พร้อมโปรแกรมที่ดีอย่าง Windows Media Player, Movie Maker และ Solitaire แต่มีข้อจำกัดคือเป็นระบบ 32 บิต ไม่รองรับ RAM เกิน 4GB และเสี่ยงต่อมัลแวร์สูงเพราะ Internet Explorer ไม่ปลอดภัย แต่ด้วย Service Pack ต่าง ๆ ก็ทำให้มันอยู่ในใจผู้ใช้จนถึงทุกวันนี้

Windows 10 คือการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่หลังความล้มเหลวจาก Windows 8 เป็น Windows ที่ออกแบบเพื่อ Desktop อย่างแท้จริง แต่ยังรองรับหน้าจอสัมผัสได้ดี มั่นคง เร็ว และฟีเจอร์ครบถ้วน พร้อมทั้งการเปิดตัว Microsoft Edge ที่มาแทน Internet Explorer, ปรับปรุง Start Menu, เพิ่มการล็อกอินด้วยใบหน้า/ลายนิ้วมือ และปรับระบบให้รองรับจอความละเอียดสูง แม้จะเริ่มดันบัญชี Microsoft และเก็บข้อมูลมากขึ้น แต่ Windows 10 กลายเป็น Windows ที่คนส่วนใหญ่ใช้มายาวนานหลายปี จนสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 14 ตุลาคม 2025

Windows 3.1 คือ Windows รุ่นแรกที่หลายคนในยุค 90 ใช้ มีความสะอาด ชัดเจน และใช้งานง่ายกว่ารุ่นก่อนมาก ๆ การเปิดตัว TrueType ทำให้คอมพิวเตอร์ Windows กลายเป็นเครื่องทำงานเอกสารและงานพิมพ์อย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งยังเพิ่มการลากวาง (Drag and Drop) และหน้าจอพัก (Screensaver) ที่กลายเป็นภาพจำของคอมพิวเตอร์ในยุคนั้น

Windows 11 กล้าปรับหน้าตาใหม่ทั้ง Start Menu และ Taskbar แต่ไม่ล้มเหลวแบบ Windows 8 เพราะยังคงพื้นฐานของ Windows 10 อยู่มาก ทำให้ใช้งานง่ายขึ้น สวยขึ้น และเป็นระเบียบมากขึ้น พร้อมรองรับ Android app และมี Microsoft Store เวอร์ชั่นใหม่ที่รองรับโปรแกรม Win32 ส่วนด้านเกมก็มีฟีเจอร์ใหม่อย่าง AutoHDR, DirectStorage และปรับปรุงการเล่นเกมแบบ Windowed Mode ให้ดีขึ้น โดยในปี 2025 Windows 11 ยังปรับปรุง Start Menu ใหม่ เพิ่ม Widget บนหน้าจอล็อก และคีย์บอร์ดสำหรับ Gamepad แม้จะยังชิงตำแหน่งจาก Windows 10 ไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็กำลังไต่เต้าขึ้นเรื่อย ๆ

Windows 98 เป็น Windows ที่พร้อมเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างแท้จริง ทั้งการเปิดตัว Internet Explorer 4.0, Windows Update และ Internet Connection Sharing รวมถึงปรับปรุงการรองรับ USB และไดรเวอร์ใหม่ ๆ โดย Windows 98 (โดยเฉพาะรุ่น SE) มีเสถียรภาพดีขึ้นกว่ารุ่น 95 มาก และถือเป็นบ้านของเกมในตำนานยุค 90 อย่าง Age of Empires, Half-Life และ Unreal ถึงแม้ผู้ใช้บางส่วนจะมองว่ามันเหมือนเป็นเพียง Windows 95 ที่แก้บั๊กแล้ว แต่ก็ถือว่าทำได้ดีกว่าเดิมและคู่ควรแก่อันดับนี้

Windows 95 คือระบบปฏิบัติการที่สร้างรูปแบบ Windows สมัยใหม่ โดยมี Start Menu เป็นครั้งแรก รวมถึง Taskbar, Recycle Bin และ Shortcut ต่าง ๆ แม้จะมีปัญหาความเสถียรและต้องให้ Windows 98 มาช่วยแก้ แต่ Windows 95 ก็ถือเป็นก้าวใหญ่ที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์ และครองตลาด PC มากกว่า 60% ในปลายยุค 90

แม้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบ Windows 3.1 แต่ Windows 2.0 ก็เป็นการพัฒนาครั้งสำคัญจากเวอร์ชันแรก เพิ่มการซ้อนและปรับขนาดหน้าต่าง, รองรับ VGA 16 สี และเพิ่มไอคอน Desktop พร้อมคำสั่งใหม่อย่างการ Maximize และ Minimize หน้าต่าง โดยสิ่งสำคัญสุดคือมีโปรแกรมหลักอย่าง Word และ Excel ซึ่งกลายหนึ่งในเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้ใช้งาน PC นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

Windows รุ่นแรกควรอยู่ในอันดับที่สูงกว่านี้ แต่ในความเป็นจริง มันแทบไม่ใช่ระบบปฏิบัติการอย่างที่เราคุ้นเคย ไม่มีการซ้อนหน้าต่าง ไม่มีโปรแกรมมากมายให้ใช้ อีกทั้งยังมีฟังก์ชันจำกัดมาก อย่างไรก็ตาม Windows 1.0 มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะมันได้ถือกำเนิดการใช้เมาส์เป็นครั้งแรก และเป็นการเปิดตัวโปรแกรมอย่าง Calculator, Paint และ Notepad แต่รีวิวในยุคนั้นไม่ค่อยดี เพราะช้ากว่า Macintosh และรองรับซอฟต์แวร์น้อย แถมผู้ใช้บางส่วนก็ยังไม่ชอบที่ต้องใช้เมาส์แทนคีย์บอร์ดด้วย

Vista มักถูกล้อว่าเป็น Windows ที่แย่มาก และถึงแม้จะจริงบางส่วน แต่ก็อาจไม่ได้แย่ไปเสียทั้งหมด โดยข้อเสียใหญ่ที่สุดคือสเปกที่ต้องใช้สูงมากในยุคนั้น ต้องการ CPU 1GHz, RAM 1GB, พื้นที่ 15GB และการ์ดจอรองรับ DirectX 9 VRAM 128MB ซึ่งสูงกว่า Windows XP หลายเท่า แต่ถึงอย่างนั้น Vista ก็เป็นความพยายามสร้าง Windows ให้ดูทันสมัย อย่างเช่นเอฟเฟกต์โปร่งแสง Aero ที่สวยงามมากในยุคนั้น แต่กลับมีปัญหาไดรเวอร์จำนวนมาก อุปกรณ์หลายชนิดใช้ไม่ได้ และผู้ใช้เกลียดป๊อปอัป User Account Control ที่เด้งขออนุญาตทุกอย่าง ทำให้ Windows 7 ที่ออกมาหลังจากนั้นแทบจะเป็น Vista ที่ทำเสร็จสมบูรณ์ แต่สำหรับ Vista เอง ถือว่าออกมาเร็วเกินไปในขณะที่ยังไม่พร้อม

ในยุคที่แท็บเล็ตและสมาร์ตโฟนกำลังครองโลกจนหลายคนมองว่า PC อาจกำลังตาย Microsoft จึงพยายามออกแบบ Windows 8 มาให้ใช้งานกับแท็บเล็ตได้ดีขึ้น ซึ่งก็ใช้งานได้ดีพอสมควรบนหน้าจอสัมผัส แต่กลับไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปเลย โดยเฉพาะการเปลี่ยน Start Menu เป็น Start Screen แบบเต็มหน้าจอที่แย่จนต้องออก Windows 8.1 เพื่อเอาปุ่ม Start และ Task Bar  กลับมา แต่ก็สายเกินไปแล้ว นอกจากนี้ Microsoft ยังพยายามเลียนแบบ App Store ของ Apple ด้วย Windows Store และแอปฯ แบบ Universal Windows Platform ซึ่งเป็นฝันร้ายของทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้ รวมถึงการพยายามบังคับเกมเมอร์ให้ใช้ DirectX 11 แต่ก็ไม่สำเร็จเช่นกัน

Windows Millennium Edition (ME) มักถูกยกให้เป็นหนึ่งใน Windows ที่แย่ที่สุด และอยู่ในตลาดเพียงปีเดียว ก่อนจะถูกแทนที่ด้วย Windows XP ที่ได้รับความนิยมสูงกว่าอย่างเทียบไม่ติด โดย Windows ME เป็น Windows ตัวสุดท้ายที่ใช้ฐาน MS-DOS แต่กลับจำกัดการเข้าถึง DOS เพื่อให้บูตเร็วขึ้น ผลลัพธ์คือไม่ได้ประโยชน์จากระบบ NT แบบ Windows XP แต่ก็ไม่ให้ฟังก์ชัน DOS แบบเต็ม ๆ เช่นกัน นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยปัญหาไดรเวอร์และด้านเสถียรภาพ เกิดอาการแครชบ่อยขณะใช้งานหรือแม้ตั้งแต่ตอนติดตั้ง Windows แม้จะพยายามเพิ่มระบบอย่างการอัปเดตอัตโนมัติและการบีบไฟล์ ZIP ก็ไม่ช่วยอะไร